วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปลาออร์ฟิช หรือ ปลาพญานาค

             

                               
                                        
                           

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก strangesounds.org

          นักชีววิทยา สามารถจับภาพ ปลาพญานาค หรือปลาออร์ฟิช ยาว 8 ฟุต (ราว 2.4 เมตร) ขณะกำลังว่ายน้ำได้ จากใต้ทะเลลึกนอกชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก

          เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษ มีรายงานว่า นักชีววิทยาทางทะเลของมหาวิทยาลัยลุยเซียน่า รัฐลุยเซียนา สหรัฐฯ สามารถจับภาพของปลาออร์ฟิช ปลาลึกลับแห่งทะเลลึกขณะกำลังว่ายน้ำได้ ด้วยกล้องสังเกตการณ์ใต้ทะเลที่ควบคุมด้วยรีโมทของบริษัทขุดเจาะนอกชายฝั่งในอ่าวเม็กซิโก
                                   
สำหรับการค้นพบนี้เป็นความสำเร็จอย่างยิ่งหลังจากที่ทีมนักชีววิทยาได้พยายามน้ำกล้องสังเกตการณ์ใต้ทะเลออกค้นหาปลาออร์ฟิชถึง 5 ครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ.2551-2554 โดยปลาออร์ฟิชที่ถูกจับภาพได้ตัวนี้น่าจะมีความยาวอยู่ที่ 8 ฟุต (ราว 2.4 เมตร) ซึ่งเชื่อกันว่าปลาสายพันธุ์นี้น่าจะสามารถเติบโตจนมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 50 ฟุต (ราว 15.2 เมตร) และมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 600 ปอนด์ (ราว 272 กิโลกรัม) เลยทีเดียว
                               
 ทั้งนี้ ปลาออร์ฟิชถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ.2321 โดย ปีเตอร์แอสคาเนียส นักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ และในเวลาต่อมามันก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ คิงออฟเฮอร์ริ่ง รวมทั้งชื่อแปซิฟอกออร์ฟิช ปลาริบบิ้น หรือแม้แต่ปลาพญานาค ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถจับภาพของมันขณะที่ยังว่ายน้ำอยู่ได้มาก่อนนั้นก็เนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นสัตว์ทะเลน้ำลึก ที่อาศัยอยู่ในระดับความลึกระหว่าง 0.2-1 กิโลเมตรนั่นเอง
                                      
 และจากความลึกลับประกอบกับลักษณะอันแปลกประหลาดของปลาชนิดนี้นี่เอง ที่ทำให้มันกลายมาเป็นสัตว์ในตำนานของหลาย ๆ พื้นที่ ดังเช่นในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงของไทย ที่มีผู้เข้าใจผิดว่าปลาออร์ฟิชนั้นคือพญานาค จากลักษณะภายนอกและความยาวที่คล้ายคลึงกับสัตว์ในตำนานความเชื่อ
                             
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ปลาออร์ฟิชก็เคยถูกจับได้มาหลายครั้งแล้ว โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปลาออร์ฟิชซึ่งมีความยาว 15 ฟุต (ราว 4.6 เมตร) ก็ถูกจับบริเวณนอกชายฝั่งคาโบ ซาน ลูคัส และได้ตกเป็นที่สนใจของคนหมู่มาก ก่อนที่ซากของมันจึงถูกนำไปศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปลาเก๋าเสือ


ปลาเก๋าเสือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลาเก๋าเสือ หรือ ปลากะรังลายน้ำตาล (อังกฤษBrown-marbled grouper, Tiger grouperชื่อวิทยาศาสตร์Epinephelus fuscoguttatus)
เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลากะรังทั่วไป สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองน้ำตาล มีจุดสีน้ำตาลเข้ม ส่วนหัวและแผ่นปิดเหงือกมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก ไปจนถึงครีบต่าง ๆ และครีบหาง[2]
มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 120 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 50 เซนนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดงในแอฟริกาตะวันออกอ่าวเปอร์เซีย,ซามัวทะเลญี่ปุ่นนิวแคลิโดเนียอินโด-แปซิฟิก จนถึงออสเตรเลีย
เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่มีการเพาะเลี้ยงอย่างปลากะรังชนิดอื่น ๆ โดยมีราคาขายตัวละ 400-600 บาท[3] รวมถึงมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาหมอทะเล หรือปลาเก๋ายักษ์ (E. lanceolatus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันแต่ตัวใหญ่กว่า เพื่อให้ได้ปลาลูกผสมที่เรียกว่า "ปลาเก๋ามุกมังกร" ที่เนื้อมีความนุ่มอร่อยกว่า และราคาถูกกว่า [4]

ปลานโปเลียน


ปลานโปเลียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลานโปเลียน
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Animalia
ไฟลัม:Chordata
ชั้น:Actinopterygii
อันดับ:Perciformes
วงศ์:Labridae
สกุล:Cheilinus
สปีชีส์:C. undulatus
ชื่อทวินาม
Cheilinus undulatus
Rüppell1835
ชื่อพ้อง
  • Cheilinus godeffroyi Günther, 1872
  • Cheilinus mertensii Valenciennes in Cuvier & Valenciennes, 1840
  • Cheilinus rostratus Cartier, 1874
ปลานโปเลียน หรือ ปลานกขุนทองหัวโหนก (อังกฤษNapoleonfish, Humphead wrasse, Mauri wrase) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cheilinus undulatus จัดอยู่ในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae)

ลักษณะ[แก้]

มีรูปร่างและลักษณะคล้ายปลาในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด เมื่อยังเล็กมีลายแถบสองเส้นที่คาดผ่านตาเฉียงขึ้น เมื่อโตขึ้นลายแถบอันนี้จะหายไป สีพื้นลำตัวจะเข้มขึ้น ในปลาเพศผู้มีสีเหลือบเขียวอมน้ำเงิน มีลายสีชมพูปรากฏเป็นจุดเป็นเส้นเล็ก ๆ แทรกตามเกล็ด ซึ่งมีความแวววาวเป็นเลื่อมมัน ขณะที่ปลาเพศเมียจะมีลวดลายที่อ่อนกว่า ซึ่งปลาทั้งสองเพศจะมีจุดเด่นที่สังเกตได้ง่าย คือ ส่วนหัวที่โหนกนูนเหมือนสันหรือนอเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งจะปรากฏเมื่อปลามีความยาวได้ 2-3 ฟุต ขอบหางมีสีเขียวอมเหลือง มีดวงตาที่สามารถกลอกกลิ้งไปมาได้
จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ โดยเต็มที่อาจยาวได้ถึงเกือบ 3 เมตร และมีน้ำหนักถึง 190 กิโลกรัม

ปลานโปเลียนกับนักดำน้ำ ที่ปาเลา

ที่อยู่[แก้]

เป็นปลาที่อาศัยหากินอยู่ในแนวปะการัง พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อน เช่น มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย โดยกินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร
สำหรับในน่านน้ำไทย พบแพร่กระจายอยู่แถบทะเลอันดามัน พบตามบริเวณกองหิน แนวปะการังของ เกาะสุรินทร์หมู่เกาะสิมิลัน ในความลึกประมาณ 3-30 เมตร [2]

ชื่อเรียกอื่น[แก้]

เหตุที่ได้ชื่อว่า "นโปเลียน" ด้วยเหตุที่ส่วนหัวที่โหนกนูน โดยเฉพาะในปลาเพศผู้ที่จะโหนกกว่าปลาเพศเมีย แลดูคล้ายหมวกของจักรพรรดินโปเลียน[3]
เป็นปลาที่ได้รับความนิยมเลี้ยงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยปลาที่ขายกันในตลาดปลาสวยงาม มักเป็นปลาวัยอ่อนที่มีความยาว 2-3 นิ้ว และจับมาจากฝั่งอ่าวไทยเป็นส่วนใหญ่[3]

อ้างอิง

ปลาเกราะ



ปลาเกราะ



จีนพบฟอสซิลปลา 400 ล้านปี เชื่อมทฤษฎีวิวัฒนาการครั้งสำคัญ
ภาพกราฟิกจำลองใบหน้าของปลาเกราะดึกดำบรรพ์ จากหลักฐานฟอสซิลที่คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ในจีนพบครั้งล่าสุด (ภาพเอเอฟพี)
     
   รอยเตอร์ส รายงาน (26 ก.ย.) การศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ในจีน ที่เผยการค้นพบ ฟอสซิลปลาโบราณคำนวณอายุได้กว่า 419 ล้านปี ซึ่งสามารถเชื่อมต่อทฤษฎีวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ที่ยังขาดช่วงหายไป
       
       รายงานของวารสารเนเจอร์ (Nature) ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.) ว่า ฟอสซิลปลาดึกดำบรรพ์นี้พบที่ อ่างเก็บน้ำเสี่ยวซิง ประเทศจีน นับเป็นโครงกระดูกของสัตว์น้ำมีกระดูกสันหลังดั้งเดิมที่สุดที่เคยค้นพบ โดยมีขากรรไกรรวมถึงกระดูกฐานฟันที่เป็นโครงสร้างเช่นเดียวกับที่พบในมนุษย์
       
       จอห์น ลอง ศาสตราจารย์ภาควิชาสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์ ที่มหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ส (Flinders University) ในแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า ในที่สุดเราก็สามารถหารอยต่อเพื่อสืบค้นวิวัฒนาการของปลาในยุคโบราณ ซึ่งมีเกราะ และเคลื่อนไหวช้า อีกทั้งสืบพันธุ์ยากกว่า นอกจากนั้นยังไม่สามารถผลัดฟันให้คมอยู่ตลอดได้อย่างปลานักล่ายุคหลังเช่นฉลามผู้เข้ามาแทนที่
       
       นักวิทยาศาสตร์ต้องประหลาดใจที่พบว่า ฟอสซิลปลาเกราะ (Entelognathus primordialis) ที่ค้นพบนี้ เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับ ตระกูลปลาพลาโคเดิร์ม (Placoderm) ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยมีกะโหลกศีรษะเล็ก ๆ ที่ซับซ้อนและกระดูกขากรรไกร อันเป็นหลักฐานพิสูจน์หักล้างทฤษฎีก่อนหน้า ที่ว่าสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังสมัยใหม่นั้น ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตเหมือนปลาฉลาม ขณะที่ให้ข้อมูลที่ขาดหายไปจากความรู้ความเข้าใจ ด้วยเป็นหลักฐานยืนยัน ต้นสายวิวัฒนาการของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทั้งกระดูกและกระดูกอ่อนก่อนหน้ายุคของฉลาม
       
       จอห์น ลอง กล่าวว่า เวลานี้เราได้รู้แล้วว่า ปลาเกราะดึกดำบรรพ์นี้ เป็นวิวัฒนาการของปลายุคใหม่ และว่าการค้นพบฟอสซิลปลานี้ มีความหมายสำคัญ ต่อความรู้ความเข้าใจวิวัฒนาการมากพอๆ กับการค้นพบฟอสซิล ของ อาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx) อันว่าด้วยการส่งผ่านวิวัฒนาการจากไดโนเสาร์สู่นก กับ ฟอสซิลลูซี่ (Lucy) ซึ่งไขปริศนาเกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ 
จีนพบฟอสซิลปลา 400 ล้านปี เชื่อมทฤษฎีวิวัฒนาการครั้งสำคัญ
        
จีนพบฟอสซิลปลา 400 ล้านปี เชื่อมทฤษฎีวิวัฒนาการครั้งสำคัญ
แบบจำลองฯ กะโหลกศีรษะปลาเกราะ ซึ่งเป็นปลายุคก่อนประวัติศาสตร์ในชั้น Placoderm ซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว (ภาพเอเยนซี)
        
จีนพบฟอสซิลปลา 400 ล้านปี เชื่อมทฤษฎีวิวัฒนาการครั้งสำคัญ
ภาพวาดปลาเกราะดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีเกราะทั้งบริเวณส่วนหัวและลำตัว ที่ผู้เชี่ยวชาญสัตว์ดึกดำบรรพ์ เชื่อว่าเป็นต้นตระกูลวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ในยุคต่อมา (ภาพเอเยนซี)

ปลาไหลกัลเปอร์


ปลาไหลกัลเปอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปลาไหลกัลเปอร์
ชนิด S. flagellum ภาพจากหน้า 49 ของหนังสือOceanic Ichthyology โดย จอร์จ บราวน์ กูด และทาร์ลทอน ฮอฟฟ์แมน บีน, ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1896
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Animalia
ไฟลัม:Chordata
ชั้น:Actinopterygii
อันดับ:Saccopharyngiformes
อันดับย่อย:Saccopharyngoidei
วงศ์:Saccopharyngidae
สกุล:Saccopharynx
Cuvier, 1829
ชนิด
ดูในเนื้อหา
ปลาไหลกัลเปอร์ (อังกฤษGulper, Gulper eel) เป็นวงศ์และสกุลของปลาทะเลน้ำลึกวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Saccopharyngidae (มาจากภาษาละติน "saccus" หมายถึง "ถุง" และภาษากรีก φάρυγξ, หมายถึง "คอหอย")
ปลาไหลกัลเปอร์ เป็นปลาที่มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหล ลำตัวไม่มีเกล็ด มีลักษณะเด่น คือ มีปากกว้างใหญ่ มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่า 1 ใน 4 ของลำตัว ภายในปากมีฟันที่แหลมคมเต็มไปหมด มีหางยาวและไวต่อความรู้สึก ดวงตามีขนาดเล็ก
มีลำตัวทั่วไปสีดำ และยาวได้เต็มที่ประมาณ 2 เมตร (6.5 ฟุต) พบได้ในระดับความลึก 1,800 เมตร (6,000 ฟุต) เป็นปลาที่เหมือนกับปลาใต้ทะเลลึกทั่วไป คือ กินอาหารได้หลากหลายชนิดไม่เลือก เนื่องจากเป็นสถานที่ ๆ อาหารหายาก ซึ่งด้วยปากที่กว้างใหญ่เช่นนี้ทำให้สามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวได้[1]

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เม็กกาโลดอน


เม็กกาโลดอน


                                        

                     




จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เม็กกาโลโด
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ไมโอซีน - ไพลโอซีน
กรามของเม็กกาโลดอน
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Animalia
ไฟลัม:Chordata
ชั้น:Chondrichthyes
ชั้นย่อย:Elasmobranchii
อันดับ:Lamniformes
วงศ์:Lamnidae
สกุล:Carcharodon
Smith, [[ค.ศ. 1ตจึ
1838]]
สปีชีส์:C. megalodon
ชื่อทวินาม
Carcharodon megalodon
Agassiz1843
ชื่อพ้อง
  • Procarcharodon megalodonCasier, 1960
  • Megaselachus megalodonGlikman, 1964
เม็กกาโลดอน (อังกฤษMegalodon ภาษากรีกแปลว่า ฟันใหญ่) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เม็ก (Meg) ปลาฉลามขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carcharodon megalodon นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีรูปร่างและลักษณะรวมทั้งพฤติกรรมคล้ายคลึงกับปลาฉลามขาว(C. carcharias) และได้จัดให้อยู่ในสกุล Carcharodon อันเป็นสกุลเดียวกับฉลามขาว แต่ทว่า เม็กกาโลดอนมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่ามาก
เม็กกาโลดอน มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคนีโอจีน (23-1.81 ล้านปีก่อน) โดยแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรในแถบทวีปอเมริกาใต้ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เม็กกาโลดอนกินอาหารโดยไม่เลือก และอาจจะกินวาฬได้ด้วย เนื่องจากมีการขุดค้นพบกระดูกวาฬที่มีรอบฟันคล้ายรอยฟันของฉลามกัด เชื่อว่าเป็นรอยฟันของเม็กกาโลดอน โดยเหยื่อของเม็กกาโลดอนชนิดหนึ่ง คือ ออโดเบ็นโอเซ็ทออป ซึ่งเป็นวาฬในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะคล้ายนาวาฬในยุคปัจจุบัน
ขนาดของเม็กกาโลดอน อาจมีความยาวประมาณ 20-22 เมตร ฟันของเม็กกาโลดอน มีความยาวประมาณ 21 เซนติเมตร และมีขนาดกรามใหญ่ถึง 2 เมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเม็กกาโลดอนที่ยังอ่อน จะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล และตัวใหญ่จะออกหากินตามทะเลเปิดและก้นมหาสมุทร โดยสามารถว่ายน้ำและโจมตีเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน เม็กกาโลดอนได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วราว 15 ล้านปีก่อน คาดว่าอาจเป็นเพราะ วาฬเริ่มอพยพสู่เขตน้ำเย็น ซึ่งเม็กกาโลดอนอาศัยอยู่ได้แค่เขตน้ำอุ่นเท่านั้น มันไม่สามารถเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายได้เหมือน ปลาฉลามขาว จึงไม่มีอาหารขนาดใหญ่พอสำหรับมัน จึงเป็นสาเหตุให้เม็กกาโลดอนเริ่มสูญพันธุ์ไปจนหมด แต่ยังเหลือปลาที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดก็คือ ฉลามขาว ความใหญ่และน่ากลัวของเม็กกาโลดอนทำให้มีผู้นำไปสร้างเป็นนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Shark Attack 3: Megalodon ในปี ค.ศ. 2002 หรือนวนิยายเรื่อง เม็กกาโลดอน นวนิยายแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ โดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเขียนและนักมีนวิทยาชาวไทย
อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1933 มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่งอ้างว่า เขาได้พบเห็นฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าฉลามปกติทั่วไปหลายเท่า โดยพบที่มหาสมุทรแปซิฟิคนอกชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา เขาอ้างว่าเฉพาะหัวส่วนของมันมีขนาดใหญ่ราว 10 ฟุต[1]
อนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ติดตั้งกล้องน้ำลึกเพื่อบันทึกภาพการกินเหยื่อของฉลาม และพบฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า มันคือฉลามชนิดไหน แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่า คือ เม็กกาโลดอน (แต่มีผู้สันนิษฐานว่า คือ ปลาฉลามสลีปเปอร์ แปซิฟิค (Somniosus pacificus) ซึ่งโตเต็มที่ยาวได้ 7 เมตร)

รูปภาพ[แก้]